วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การจำแนกแบ่งพันธุ์ไม้ประดับ

                การจำแนกประเภทและแบ่งพันธุ์ไม้

          มีหลักพิจารณาและจำแนกต่างกัน แล้วแต่ความมุ่งหมายและความประสงค์ ซึ่งอาจแบ่งจำพวกพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับเป็น 3 พวกใหญ่ ๆ คือ

  1. การแบ่งพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับตามความมุ่งหมายที่ใช้ หมายถึง การแบ่งพันธุ์ไม้ตามความต้องการและมุ่งหมายที่จะนำมาใช้เพื่อประโยชน์ ดังนี้

          1) ไม้ตัดดอก (Cut flower plant)

          หมายถึง ไม้ดอกที่ปลูก ณ สถานที่ที่มีภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สภาพแวดล้อม เช่น สายลม แสงแดด อุณหภูมิ ดิน น้ำ ความชื้นสัมพัทธ์ การคมนาคม และระยะทางที่เหมาะสม เพื่อตัดเฉพาะส่วนดอกหรือช่อดอก ไปใช้ประโยชน์ หรือจำหน่าย เช่น แกลดิโอลัส เบญจมาศ เยอร์บีรา หน้าวัว กุหลาบ ดาวเรือง คาร์เนชัน และบัวหลวง ไม้ดอกดังกล่าวนี้ จะถูกตัดออกจากต้นไปใช้ประโยชน์พร้อมทั้งก้านดอกด้วย ทั้งนี้เพราะก้านดอกเป็นแหล่งสะสมอาหาร เมื่อดอกถูกตัดจากต้นเพื่อนำไปปักแจกัน หรือจัดกระเช้า อาหารที่เก็บสะสมไว้ที่ก้านดอกจะถูกนำมาใช้ ช่วยให้ดอกไม้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ดังนั้นคุณลักษณะสำคัญของไม้ตัดดอก นอกจากดอกจะต้องสวยสดแล้ว ก้านดอกก็ต้องใหญ่ ยาว และแข็งแรง แต่ไม่เกะกะเก้งก้าง บรรจุหีบห่อได้ง่าย ขนส่งสะดวก มีน้ำหนักไม่มากนัก และเก็บรักษาได้นาน

          ยังมีไม้ดอกอีกหลายชนิดที่มีก้านดอกสั้น กลวงและเปราะหักง่ายแต่ดอกสวยหรือมีกลิ่นหอม อายุการใช้งานทนนาน สามารถใช้ประโยชน์ได้ดีในวิถีชีวิตของคนไทย โดยการนำเฉพาะส่วนดอกไปร้อยมาลัย ทำอุบะ จัดพานพุ่ม หรือนำไปจัดแจกัน โดยใช้ก้านเทียมแทน เช่น รัก มะลิ พุด จำปี จำปา แวนดาโจคิม บานไม่รู้โรย

          2) ไม้ดอกกระถาง (Flowering pot plant)


          หมายถึง ไม้ดอกที่ปลูกเลี้ยงในกระถางตั้งแต่เริ่มเพาะเมล็ดหรือย้ายต้นกล้า โดยการเปลี่ยนกระถางให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นลำดับให้เหมาะสมกับความสูงและการเจริญเติบโตของต้น เมื่อออกดอก จะนำไปใช้ประโยชน์ในการประดับทั้งต้นทั้งดอก พร้อมทั้งกระถาง ทำให้อายุการใช้งานทนนานกว่าไม้ตัดดอก เช่น บีโกเนีย แพนซี แอฟริกันไวโอเลต กล็อกซิเนีย อิมเพเชียน พิทูเนีย

          ไม้ดอกที่นำมาปลูกเป็นไม้กระถางจึงต้องมีทรงพุ่มต้นกะทัดรัด ไม่เกะกะเก้งก้าง หรือมีต้นสูงใหญ่ เกินกว่าที่จะนำมาปลูกเลี้ยงได้ในกระถางขนาดเล็กพอประมาณเพื่อความสะดวกในการขนย้าย ที่สำคัญคือควรจะออกดอกบานพร้อมเพรียงกันเกือบทั้งต้น เพื่อความสวยงามในการใช้ประดับ ปัจจุบันวิทยาการเจริญก้าวหน้าอย่างมาก มนุษย์สามารถปลูกเลี้ยงไม้ดอกหลายๆ ชนิดในกระถางขนาดเล็ก แม้จะมีขนาดต้นสูงใหญ่ โดยการใช้สารเคมีที่เรียกว่า สารชะลอการเจริญเติบโต ราดหรือพ่น เพื่อทำให้ไม้ดอกเหล่านั้น มีขนาดต้นเตี้ยลงตามความต้องการ ตลอดจนใช้เทคนิคบางประการในระหว่างการปลูกเลี้ยง เพื่อบังคับให้ไม้ดอกออกดอกพร้อมเพรียงกันทั้งต้นได้ โดยคงจำนวน ขนาด และสี ตลอดจนความสวยงามของดอก ให้ใกล้เคียงกับของเดิมทุกประการ

          3) ไม้ดอกประดับแปลง (Bedding plant)

          หมายถึง ไม้ดอกที่ปลูกลงแปลง ณ บริเวณที่ต้องการปลูกตกแต่ง เพื่อประดับบ้านเรือน อาคารสถานที่ ตลอดจนสวนสาธารณะ โดยไม่ตัดดอกหรือส่วนใดส่วนหนึ่งไปใช้ประโยชน์ แต่ปล่อยให้ออกดอกบานสะพรั่งสวยงาม ติดอยู่กับต้นภายในแปลงปลูก เพื่อประโยชน์ในการประดับ จนกว่าจะร่วงโรยไป

  2.  การแบ่งพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับตามลักษณะนิสัยของพันธุ์ไม้ เช่น การแบ่งตามถิ่นกำเนิด แบ่งตามอายุความเจริญเติบโตของพันธุ์ไม้ ตามลักษณะเนื้อไม้ ตามสิ่งแวดล้อม และตามลักษณะของลำต้น

  3.  การแบ่งพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับตามหลักพฤกษศาสตร์ มีความมุ่งหมายเพื่อจำแนกพันธุ์ไม้ทั่ว ๆ ไปให้แน่ชัดในรูปร่าง ลักษณะนิสัยการดำรงชีพ และการสืบพันธุ์ ของพันธุ์ไม้ให้อยู่เป็นกลุ่มที่แน่นอน ไม่ปะปนกัน

ความสำคัญของไม้ประดับ

        ความสำคัญของไม้ดับ
        ปัจจุบัน เริ่มจะยอมรับกันทั่วไปแล้วว่า ต้นไม้โดยเฉพาะไม้ประดับมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน และมีความสัมพันธ์กับมนุษยชาติอย่างใกล้ชิด แต่ความรู้ความเข้าใจในเรื่องบทบาทของต้นไม้ที่มีต่อชีวิตมนุษย์และคุณภาพ ของสิ่งแวดล้อมยังไม่แพร่หลายนัก
ความงดงามของธรรมชาติ ต้นไม้ใบหญ้า ความร่มรื่นร่มเย็นจากร่มไม้ใบพฤกษ์ สีสันและความหอมอันละเมียดละไมเหล่านี้มิใช่มีอยู่ในภาพวาด ภาพถ่าย เสียงเพลง คือจินตนาการจากในหนังสือวรรณคดีต่าง ๆ เท่านั้น สิ่งเหล่านี้เคยมีอยู่แล้วในธรรมชาติ หรืออาจเนรมิตจัดสร้างขึ้นมาได้ หากมนุษย์ประสงค์ที่จะให้มีขึ้น
มนุษย์กับธรรมชาติเป็นสิ่งเกื้อกูลซึ่งกินและกัน มาตั้งแต่สมัยบรรพกาลชนิดแยกกันไม่ได้ แต่มนุษย์ที่อวดอ้างตนเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐนั้นแหละ เป็นผู้ทำลายมิตรภาพจากผู้มีอุปการะคุณเสียเอง จะโดยตั้งใจหรือมิตั้งใจก็ตามที
ประชากรเพิ่มขึ้น ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยก็ตามมา เรือกสวนไร่นาต้องแปรสภาพเป็นที่อยู่อาศัย การขยายถนนให้เพียงพอต่อการสัญจร จำเป็นต้องถมคูคลอง โค่นตัดต้นไม้ลง ป่าคอนกรีตผุดขึ้นมาแทนที่อย่างรวดเร็ว เมื่อบรรยากาศในเมืองหมดความเป็นธรรมชาติก็ได้แต่ฝันถึงบรรยากาศชนบท พยายามปลีกเวลาออกไปสัมผัสทุ่งนา ป่าเขาลำเนาไพร หรือชายทะเล ฯลฯ เพื่อเติมน้ำเติมฟืนหรืออัดแบตเตอรี่ให้เกิดกำลังในการประกอบกิจการงานกันอยู่เสมอ ผู้ที่มีที่ดินบริเวณบ้านกว้างขวางหน่อยและมีกำลังทรัพย์ก็สามารถเนรมิตธรรมชาติมาไว้ใกล้ ๆ ตัว ยกน้ำตกหรือป่าเขาลำเนาไพร เข้ามาไว้ในบ้าน กันเลยทีเดียว
เนื่องจากต้นไม้มีบทบาทต่อชีวิตมนุษย์และคุณภาพของสิ่งแวดล้อม จึงได้มีการปลูกต้นไม้นานาชนิด มีพืชผักสวนครัว ไม้ดอกไม้ประดับ เป็นอาทิขึ้น เพื่อช่วยผ่อนปรนคลี่คลายสภาวะแวดล้อม ที่มีส่วนสัมพันธ์กับชีวิตของมนุษย์ ให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น หากขาดต้นไม้ใบหญ้าตามบ้าน ตามถนนหนทางหรือสวนสาธารณะในเมืองเสียแล้ว ปัญหาต่าง ๆ อาจเกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อม อันมีผลกระทบต่อมนุษย์เอง ทั้งทางตรงและทางอ้อม ได้แก่
-อากาศเป็นพิษ
-แสงสว่างจ้า, แสงสะท้อนจากกระจก, หรือโลหะสะท้อนแสง
-ความปรวนแปรของอุณหภูมิ
-การพังทลายของดิน
-แสงไฟจากรถยนต์ส่องหน้า
-แสงสว่างจากรถยนต์ส่องหน้า
-แสงสว่างจากศูนย์การค่าย่านชุมชนหนาแน่น
-พื้นที่บางแห่งไม่ได้ใช้ประโยชน์
-กองขยะหรือสิ่งรกรุงรังตามข้ามถนนหลวง

ปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นนี้ เป็นปัญหาที่เกิดจากความเจริญของบ้านเมือง ความแออัดของประชากรในเมืองใหญ่ ๆ ต้นไม้อาจแก่ปัญหาเหล่านี้ได้บ้าง หากรู้หลักพิจารณาเลือกต้นไม้ที่เหมาะสมมาปลูกให้ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะแก้ปัญหานั้น ๆ เพราะต้นไม้นั้นเป็นเสมือนเครื่องปรับอากาศอย่างดีตามธรรมชาติ เนื่องจากต้นไม้ดูดก๊าชคาร์บอนไดอ็อกไซด์และขับสารพิษต่าง ๆ จากอากาศเข้าไปทางใบ เพื่อใช้ในขบวนการปรุงอาหารโดยการสังเคราะห์แสง และในขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยอ๊อกซิเจน ออกมาทำให้อากาศบริเวณนั้น ๆ บริสุทธิ์สดชื่น การคายนํ้าของใบทำให้ไอน้ำออกมาสู่บรรยากาศ ซึ่งสามารถดูดซับฝุ่นละอองที่ฟุ้งอยู่ในบรรยากาศให้น้อยลง ใบไม้ถึงไม้รากไม้และเศษเหลือของพืชที่ร่วงหล่นตามพื้นดิน จะช่วยป้องกันการพังทะลายของดิน ป้องกันมิให้แม่นํ้าลำคลองสกปรกขุ่นข้น ต้นไม้ลดความรุนแรงของเสียง ในช่วงที่มีความถี่สูง ซึ่งเป็นอันตรายต่อโสต ประสาทของมนุษย์ เนื่องจากเกิดการปะทะทำ ให้เสียงกระจาย ลดความรุนแรงลงไปได้ ต้นไม้ที่ปลูกเป็นแนวเป็นฉากปิดบังสิ่งที่รกรุงรัง หรือกั้นพื้นที่ออกเป็นสัดส่วนได้โดยไม่รู้สึกอึดอัดใจ แสงไฟจากรถยนต์ที่วิ่งสวนกันบนถนนอาจปิดกั้นโดยการปลูกต้นเป็นรั้วหรือเป็นฉากกำบังกลิ่นเน่าเหม็นจากคูคลองใกล้บ้านอาจบรรเทาได้ด้วยการปลูกต้นไม้ดอกที่มีกลิ่นหอมสกัดกั้น แสงแดดที่ส่องหรือสะท้อนจากสระน้ำเข้าหน้าต่างบ้านหรือที่ทำงาน ก็อาจปิดบังได้ด้วยต้นไม้เช่นกัน



ประโยชน์ของไม้ประดับ

ประโยชน์ของไม้ประดับ

    ไม้ดอกและไม้ประดับมีประโยชน์ดังนี้
1 สร้างความสดชื่นให้แก่ผู้อาศัยในบริเวณบ้าน หรือบริเวณที่พักอาศัย
2 ใช้ประดับตกแต่งอาคาร สถานที่ให้เกิดความสวยงาม
3 ใช้ในงานพิธีและโอกาสต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานไหว้ครู งานศพ เป็นต้น
4 ใช้เพิ่มสีสันให้แก่อาหารและเครื่องดื่ม ให้สวยน่ารับประทาน เช่น สีม่วงจากดอกอัญชัน สีเขียวจากใบเตย สีเหลืองจากฟักทอง เป็นต้น
5 ใช้เป็นยารักษาโรค เช่น ดอกบัวหลวง ใช้ใบอ่อนปรุงเป็นยา บำรุงร่างกายให้สดชื่น ใบแก่ใช้แก้ไข้ บำรุงโลหิต เป็นต้น
6 ใช้เป็นของขวัญ ของที่ระลึก เช่น กระเช้าดอกไม้ หรือแจกันดอกไม้ ช่อดอกไม้ เป็นต้น

7 สร้างอาชีพ เกี่ยวกับดอกไม้ ไม้ประดับ เช่น การจำหน่ายไม้ดอก ไม้ประดับ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ธุรกิจจัดสวน เป็นต้น



ไม้ประดับมีพิษ

                ไม้ประดับที่อาจจะก่อให้เกิดพิษได้ 


       1. พืชวงศ์ Agavaceae: 


เป็นพืชที่มีใบและทรงต้นที่สวย นำมาปลูกในสวนกันอย่างแพร่หลาย ส่วนใบมีสารแคลเซียมออกซาเลท ซึ่งจะทำให้ปากและลำคอเกิดการระคายเคืองได้ ถ้ารับประทานเข้าไป นอกจากนี้ขอบใบจะมีหนามแหลมถ้าสัมผัสถูกจะเป็นอันตรายต่อผิวหนังได้ 


ตัวอย่างพืชได้แก่ ป่านศรนารายณ์ (Agave americana L.), พระรามแผลงศร (A. americana L. var.marginata
 

   
   2. พืชวงศ์ Amaryllidaceae: 


พืชวงศ์นี้มีสารพิษกลุ่มแอลคาลอยด์ เช่น lycorine, crinamine, criridine, narciclasine เป็นต้น พบได้ในส่วนหัวของพืช สารพิษเหล่านี้ถ้ารับประทานเข้าไปจะออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง และมีผลระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย 


ตัวอย่างพืชได้แก่ พลับพลึงดอกแดง (Crinum amabile), พลับพลึงดอกขาว (C. asiaticum


การรักษา 


ไม่แนะนำการทำให้อาเจียนเพราะคนไข้จะมีอาการอาเจียนอยู่แล้ว ควรจะล้างท้อง และใช้ถ่าน (activated charcoal) ในการดูดพิษแอลคาลอยด์ และควรให้เกลือแร่ป้องกันการสูญเสียน้ำ และแร่ธาตุ 




      3. พืชวงศ์ Apocynaceae: 


พืชวงศ์นี้จะมีสารกลุ่มคาร์ดิแอคกลัยโคไซด์ ซึ่งมีผลกระตุ้นการเต้นของหัวใจ พืชกลุ่มนี้จะมีพิษเมื่อรับประทานเกินขนาด ส่วนใหญ่จะเกิดพิษกับเด็ก เนื่องจากรับประทานผลหรือดอกของพืชพิษเหล่านี้ ซึ่งมักจะมีสีสวย จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุปาก และกระเพาะอาหาร เกิดอาการอาเจียน ท้องเดิน ปวดศรีษะและปวดท้อง หลังจากสารพิษถูกดูดซึมเข้าเส้นเลือด จะไปกระตุ้นหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและเต้นผิดปกติ อาการดังกล่าวอาจอยู่ได้นานถึง 2-3 อาทิตย์ สารพิษนี้พบได้ในทุกส่วนของพืช โดยเฉพาะในส่วนเมล็ด 


ตัวอย่างพืช ได้แก่ ชวนชม (Adenium obesum), บานบุรีสีเหลือง (Allamanda cathartica), ยี่โถ (Nerium indicum), รำเพย (Thevetia peruviana), พญาสัตบรรณ (Alstonia scholaris
 
    





http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/

การปลูกไม้ประดับ

                                                                การปลูกไม้ประดับ
         ไม้ดอกไม้ประดับที่จะนำมาปลูกสำหรับจัดสวนนั้น อาจจะปลูกลงดินเป็นต้นเดียว เป็นกอ เป็นแถว หรือปลูกลงในแปลง แต่ถ้าต้องการจะปลูกไว้ตกแต่งอาคารก็ใช้ปลูกในกระถาง การปลูกลงในกระถางนั้นจะต้องพิจารณาดูว่า ควรจะใช้กระถางขนาดใด รูปทรงกระถางเป็นอย่างไรจึงจะสวยงามและเหมาะสมกับต้นไม้
1. การปลูกต้นไม้ลงในหลุม ควรปฎิบัติดังนี้
            ก่อนที่จะปลูกต้นไม้ลงในหลุม จะต้องพิจารณาดูเสียก่อนว่าต้นไม้ที่จะนำมาปลูก เป็นเป็นต้นไม้ที่ชอบดินมีลักษณะอย่างไร เช่น ต้นไม้ที่ชอบที่ลุ่มมีน้ำขัง ถ้าเอาต้นไม้ที่ไม่ชอบน้ำชื้นแฉะมาปลูกแล้ว ต้นไม้นั้นก็ไม่เจริญเติบ โตหรืออาจตายได้ หรือต้นไม้ที่ชอบขึ้นในเลน น้ำเค็ม หากเอาต้นไม้ที่ไม่ชอบน้ำเค็มไปปลูกแล้ว ต้นไม้ก็อาจตายได้ดังนี้ เป็นต้น
            เมื่อเลือกต้นไม้ที่ชอบสภาพดินและลักษณะดินได้แล้ว ก็จะต้องเตรียมดินปลูกในหลุมนั้น โดยการขุดหลุมตามขนาดของต้นไม้ ถ้าเป็นต้นไม้เล็กก็ขุดหลุมเล็ก ถ้าเป็นต้นไม้ใหญ่ก็ควรขุดหลุมกว้างและลึกไม่ต่ำกว่า 50 ซม. หรือลึกเท่ากับความยาวของรากแก้ว เมื่อขุดดินแล้วก็ตากดินนั้นไว้ที่ปากหลุมประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อฆ่าวัชพืชที่ไม่ต้องการ เมื่อตากดินไว้ 1 สัปดาห์แล้วก็นำปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ 1 ส่วน ปูนขาวที่ทำจากเปลือกหอย 1 ส่วน หรือจะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ย กทม.) แทนปุ๋ยคอกก็ได้ผสมกับดินให้เข้ากันแล้วนำใส่ก้นหลุม
         นำต้นไม้ที่เตรียมไว้ปลูกวางลงบนดินที่ผสมไว้
         ปักหลักแล้วผูกต้นไม้นั้นไม่ให้ล้ม ถ้าเป็นต้นไม้ที่มีลำต้นแข็งแรง อาจจะไม่ต้องปักหลักก็ได้
         เอาดินที่ขุดตากไว้ใส่ลงในหลุมดิน ตอนบนควรใส่ลงไปข้างล่าง ส่วนดินล่างก้นหลุมควรกลบไว้ข้างบนกดดินให้แน่น เพื่อมิให้ต้นไม้เอนไปมาหาวัตถุพวกหญ้าแห้ง ฟาง แกลบ คลุมดิน เพื่อรักษาความชิ้นไว้เสร็จแล้วรดน้ำให้ชุ่ม
         ถ้าต้นไม้นั้น เป็นต้นไม้ที่ถอนกล้า ต้นเล็กมาปลูก ก็ต้องทำที่กำบังแดดจนกว่าต้น ไม้จะทรงตัวได้จึงเอาออก
        การปลูก ควรจะปลูกในตอนเย็น
2. การปลูกต้นไม้ในแปลง ควรปฎิบัติดังนิ้
         ก่อนปลูกจะต้องทำแปลงขนาดกว้างยาวตามพื้นที่ แต่ความกว้างไม่ควรเกิน 1 เมตร ถ้าแปลงกว้างเกิน 1 เมตร ทำให้ดูแลรักษายาก การทำแปลงนี้กระทำโดยการขุดดิน ตามความกว้างยาวของแปลงนั้น เก็บวัชพืชที่อยู่ในดินออกแล้วตากไว้ให้ดินแห้งประมาณ 1 สัปดาห์ เมื่อตากดินแห้งแล้วก็ย่อยดินให้เป็นก้อนเล็ก ๆ ผสมดินนั้นด้วยปุ๋ยคอก ปูนขาว และปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยเทศบาลกทม. อย่างละ 1 ส่วนบนดินนั้น เมื่อผสมได้ที่แล้วก็ทำเป็นรูปแปลง เตรียมที่จะปลูกต้นไม้ต่อไป
          ก่อนที่จะปลูกต้องพิจารณาดูว่าต้นไม้ที่จะนำมาปลูกนั้นจะปลูกเป็นแถวติดกันหรือห่างกัน ถ้าห่างก็ขุดดินเป็นหลุมเล็ก ๆ ไว้ตามระยะที่เห็นสมควร ถ้าจะปลูกเป็นแถวก็ทำดิน ให้เป็นรางติดต่อกัน
         การถอนกล้ามาปลูก ควรใช้ไม้งัดให้มีดินติดมาด้วย อย่าให้รากขาด ถ้ารากขาดจะทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตช้า เมื่อถอนกล้ามาแล้ว ก็นำมาปลูกลงในร่องหรือหลุมนั้น การถอนย้ายกล้ามาปลูก ควรทำในตอนเย็น ๆ
         เมื่อตั้งต้นกล้าลงในหลุมได้ที่แล้ว ก็เอาดินกลบกดดินให้แน่น เพื่อให้รากเกาะกับ ดิน
         หาหญ้าหรือฟางคลุมดิน แล้วรดน้ำให้ชุ่ม
        ถ้าต้นไม้นั้นยังเล็กไม่แข็งแรง ก็จะต้องทำร่มให้ต้นไม้จนกว่าต้นไม้จะทรงตัว
3. การปลูกต้นไม้ลงกระถาง ควรปฎิบัติดังนิ้
         ก่อนที่จะปลูกต้นไม้ลงในกระถาง จะต้องเลือกกระถางให้มีขนาดพอเหมาะกับต้นไม้นั้น ๆ เมื่อได้กระถางมาแล้วก็หากระเบื้องแตกประมาณ 2-3 ชิ้น วางปิดรูก้นกระถาง ทุบอิฐมอญเป็นก้อนเล็ก ๆ ใส่ลงก้นกระถางสูงขึ้นมาประมาณ 1 นิ้ว เพื่อช่วยในการระบายน้ำได้ดีขึ้น
         ผสมดินสำหรับปลูกต้นไม้ทั่ว ๆ ไป ดังนี้ ดินร่วน 1 ส่วน ใบไม้ผุ 1 ส่วน ปุ๋ยเทศบาล 1 ส่วน ใส่ลงไปประมาณครึ่งกระถาง เอาต้นไม้วางลง แล้วเอาดินที่ผสมไว้ใส่ลงเกือบเต็มกระถาง เหลือไว้ประมาณ 1 นิ้ว กดดินให้แน่นเพื่อไม่ให้ต้นไม้ล้ม
         รดน้ำให้ชุ่มแล้วยกวางในที่ร่ม หรือพักไว้ในเรือนต้นไม้จนกว่าต้นไม้จะทรงตัวแล้ว จึงออกวางเป็นไม้ประดับได้
         ในการปลูกต้นไม้ประดับชนิดไม้ใบ อาจจะปลูกรวมกันหลายชนิด ในกระถางเดียวกันก็ได้ โดยเลือกความสูงของต้น สีของต้นและใบให้ต่างกัน ก็จะแลดูสวยงามยิ่งขึ้น
         ถ้าเป็นต้นไม้สำหรับตกแต่งอาคาร เช่น นำมาปลูกไว้ภายในบ้าน ต้องเลือกกระถาง ที่สวยงามพอสมควรหรือนำต้นไม้ที่ปลูกไว้ ในกระถางแล้วมารวมลงในกระถางที่สวยงามนั้นก็ได้ ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่ง กระถางนั้นต้องมีจานสำหรับรองน้ำเพื่อกันไม่ให้น้ำไหลออก มาภายนอกเมื่อเวลารดน้ำ

         สำหรับต้นไม้ที่นำมาไว้ในอาคาร บางชนิดจะต้องเปลี่ยนอยู่เสมอ กล่าวคือ เมื่อนำมาไว้สัก 1 สัปดาห์แล้วต้องเปลี่ยนออกเอา ต้นอื่นมาแทน ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้ต้นไม้โทรม

http://research.rae.mju.ac.th/raebase/index.ph/base-learning/product1/garden-tree

ประเภทของไม้ประดับ

              ประเภทของไม้ประดับ

1.ประเภทไม้ประดับภายในอาคารหรือในร่มรำไร
เป็นกลุ่มพืชที่ต้องการแสงน้อย-ปานกลาง ส่วนมากจะปลูกอยู่ในอาคารสำนักงานที่มีแสงน้อย แดดส่องถึงบ้าง อุณหภูมิไม่สูงนัก พืชกลุ่มนี้ได้แก่ แก้วหน้าม้า พืชตระกูลฟิโลเดนดรอนและมอนสเตอรา เดหลี เป็นต้น







   2.ประเภทไม้ประดับภายนอกอาคารหรือกลางแจ้ง
เป็นกลุ่มพืชที่ต้องการแสงมากตลอดทั้งวัน ส่วนมากปลูกประดับอยู่ภายนอกอาคารหรือตามสนามต่างๆ พืชกลุ่มนี้ได้แก่ โกสน พืชตระกูลปาล์ม เป็นต้น





http://research.rae.mju.ac.th/raebase/index.php/base-learning/product1/garden-tree/40-gardentree-3

ตัวอย่างไม้ประดับ



ตัวอย่างไม้ประดับ



     สายหยุด
เป็นกึ่งไม้เลื้อยเนื้อแข็งยากได้กว่า 10 เมตร สามารถตัดแต่งเป็นพุ่มใหญ่ได้ ดอกมีหลายสีทั้งสีแดง สีเหลือง เหตุที่ชื่อสายหยุดเพราะมีกลิ่นหอมจะหอมมากในตอนเช้าจะค่อยๆพอตอนสายจะไม่ค่อยมีกลิ่นใครตื่นสายอดดมกลิ่นหอมๆของดอกสายหยุดเลยที่เดียว ดอกมีลักษณะห้อยตัวลงมาออกดอกตลอดทั้งปี ต้องการแดดพอสมควรแต่ก็สามารถโตได้ในที่ร่ม

   ศรีตรัง (แคฝอย)

เป็นไม้ประดับบ้านที่มีดอกสวยอีกชนิดหนึ่ง ต้นไม้ขนาดเล็กสูง 4-10เมตร ออกดอกเมื่อผลัดใบ ดอกเป็นสีม่วงอ่อน มีกลิ่นหอมสวยงามโดดเด่นเห็นแต่ไกล และยังเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดตรังอีกด้วย
http://www.poolprop.com